PDPA คืออะไร เกี่ยวข้องกับใคร มีสาระสำคัญอย่างไร
PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทุกคนในประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
PDPA คืออะไร:
- กฎหมายที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล เลขบัตรประชาชน ข้อมูลทางการเงิน ประวัติการรักษาพยาบาล และข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้
- มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล และสร้างความมั่นใจในการใช้บริการออนไลน์ต่าง ๆ
เกี่ยวข้องกับใคร:
- เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล: ทุกคนที่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองแก่ผู้อื่น
- ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล: บุคคลหรือนิติบุคคลที่เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
- ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล: บุคคลหรือนิติบุคคลที่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล
สาระสำคัญ:
- การเก็บรวบรวมข้อมูล: ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมให้ชัดเจน
- การใช้ข้อมูล: ใช้ได้เฉพาะตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เท่านั้น
- การเปิดเผยข้อมูล: เปิดเผยได้เฉพาะในกรณีที่ได้รับความยินยอม หรือมีกฎหมายกำหนด
- สิทธิของเจ้าของข้อมูล:
- สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล
- สิทธิในการแก้ไขข้อมูล
- สิทธิในการลบข้อมูล
- สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูล
- สิทธิในการเคลื่อนย้ายข้อมูล
- สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล
- บทลงโทษ: ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย PDPA อาจได้รับโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา

PDPA (Personal Data Protection Act) และ GDPR (General Data Protection Regulation) เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่มีขอบเขตและรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้:
PDPA (พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)
- เป็นกฎหมายของประเทศไทย
- มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย
- บังคับใช้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย
- มีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครอง
GDPR (General Data Protection Regulation)
- เป็นกฎหมายของสหภาพยุโรป (EU)
- มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่อยู่ใน EU
- บังคับใช้กับองค์กรใดๆ ที่เสนอสินค้าหรือบริการให้กับบุคคลใน EU หรือติดตามพฤติกรรมของบุคคลใน EU ไม่ว่าจะตั้งอยู่ใน EU หรือไม่
- มีบทลงโทษที่รุนแรง โดยปรับสูงสุดถึง 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้ทั่วโลก
ความแตกต่างหลักๆ
- ขอบเขต: PDPA บังคับใช้ในประเทศไทย ส่วน GDPR บังคับใช้ใน EU และมีผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกที่ทำธุรกิจกับบุคคลใน EU
- บทลงโทษ: GDPR มีบทลงโทษที่รุนแรงกว่า PDPA
- สิทธิของเจ้าของข้อมูล: GDPR มีรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของเจ้าของข้อมูลที่ชัดเจนกว่า PDPA ในบางประเด็น เช่น สิทธิในการเคลื่อนย้ายข้อมูล
สรุป
- ทั้ง PDPA และ GDPR มีเป้าหมายเดียวกันคือการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- GDPR มีขอบเขตที่กว้างกว่าและมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่า PDPA
- องค์กรที่ทำธุรกิจทั้งในประเทศไทยและ EU ต้องปฏิบัติตามทั้ง PDPA และ GDPR
หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเว็บไซต์ของสหภาพยุโรป